ปัญหาการถูกปลอมแปลงข้อมูล การถูกโจรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ในปัจจุบัน เนื่องจากทุกวันนี้เราทำธุรกรรมทางการเงิน หรือทำเรื่องต่าง ๆ ผ่านระบบออนไลน์ทั้งสิ้น ซึ่งหากโดนโจรกรรมแล้วย่อมส่งผลกระทบอย่างมาก จึงทำให้หลายธนาคาร หรือหน่วยงานเอกชนและราชการต้องออกแบบระบบยืนยันตัวตน เพื่อเป็นด่านสำคัญสำหรับป้องกันข้อมูล หรือการทำธุรกรรมทางการเงินที่มีระบบยืนยันตัวตนเพื่อให้การทำธุรกรรมเป็นไปตามที่เราต้องการ และปลอดภัยยิ่งขึ้น
โดยระบบยืนยันตัวตนที่ได้รับความนิยม และขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัย มีทั้ง 2 ระบบ คือ E-KYC และ KYC ซึ่งแต่ละระบบยืนยันตัวตนต่างอย่างไร วันนี้ Ditto เตรียมข้อมูลมาให้คุณได้ทำความเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น
ทำความรู้จักระบบยืนยันตัวตน KYC คืออะไร
KYC ย่อมาจากคำว่า “Know Your Customer” หรือ “เข้าใจลูกค้าของคุณ” เป็นกระบวนการที่องค์กรหรือธนาคารใช้ในการตรวจสอบและรู้จักลูกค้าอย่างละเอียด เพื่อทราบข้อมูลเกี่ยวกับตัวตน ความเป็นจริง และกิจกรรมทางการเงินของลูกค้าก่อนที่จะดำเนินการทางธุรกิจ
โดยกระบวนการ KYC ช่วยให้องค์กรสามารถป้องกันการฟ้องร้องที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและการทุจริตทางการเงินได้ โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า เช่น ชื่อ-นามสกุลจริง ที่อยู่ วันเกิด หมายเลขประจำตัวประชาชน และเอกสารประกอบอื่น ๆ เพื่อทำการตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของข้อมูลลูกค้า ทั้งนี้จุดเด่นของ KYC มีดังนี้
1. การป้องกันการฟอกเงินและการทุจริตทางการเงิน
ช่วยลดความเสี่ยงที่องค์กรหรือธนาคารจะเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเงินที่ผิดกฎหมาย โดยให้การตรวจสอบและติดตามกิจกรรมทางการเงินของลูกค้าอย่างละเอียด
2. การป้องกันการฉ้อโกงและการภายใน
ช่วยลดความเสี่ยงจากการฉ้อโกงและการกระทำที่ไม่เหมาะสมของบุคลากรภายใน โดยการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและยืนยันตัวตนของลูกค้า
3. การเสริมสร้างความเชื่อมั่นของลูกค้า
ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าโดยแสดงให้เห็นว่าองค์กรหรือธนาคารให้ความสำคัญกับการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและการดำเนินงานทางธุรกิจอย่างเต็มที่
4. การพัฒนาความเข้มแข็งของระบบการเงิน
กระบวนการ KYC มีความเข้มงวดและระบบที่มีความเป็นระเบียบ องค์กรและธนาคารสามารถสร้างระบบการเงินที่เข้มแข็งและน่าเชื่อถือได้ผ่านระบบการยืนยัน KYC
E-KYC คืออะไร
E-KYC ย่อมาจากคำว่า “Electronic Know Your Customer” หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “E-KYC” คือ กระบวนการที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการยืนยันและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและตัวตนของลูกค้าในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งใช้เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบและยืนยันตัวตนของลูกค้าเพื่อการทำธุรกรรมทางการเงินหรือการลงทุนต่าง ๆ อย่างรวดเร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้น
โดยรูปแบบ E-KYC มักนำเสนอแบบฟอร์มออนไลน์หรือแอปพลิเคชันที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถกรอกข้อมูลส่วนตัวและเอกสารประจำตัวอย่างบัตรประชาชนหรือหลักฐานอื่น ๆ และส่งข้อมูลเหล่านั้นไปยังผู้ให้บริการหรือหน่วยงานที่ต้องการใช้งาน ผู้ให้บริการจะทำการตรวจสอบข้อมูลและเอกสารที่ได้รับเพื่อยืนยันตัวตนและความถูกต้องของข้อมูล ซึ่งช่วยลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการตรวจสอบตัวตนของลูกค้าในสถาบันการเงิน บริษัททางการเงิน หรือกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ ซึ่งจุดเด่นของ E-KYC มีดังนี้
1. ความสะดวกรวดเร็ว
การใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ในกระบวนการ E-KYC ทำให้เก็บรวบรวมข้อมูลและยืนยันตัวตนของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย ลูกค้าสามารถกรอกข้อมูลและส่งเอกสารผ่านช่องทางออนไลน์ได้โดยไม่ต้องเดินทางไปถึงสถานที่ต่างๆ
2. ลดการกระจายข้อมูลที่ไม่จำเป็น
การใช้ E-KYC ช่วยลดการกระจายข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่จำเป็น เนื่องจากลูกค้าสามารถส่งเอกสารและข้อมูลอย่างปลอดภัยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ไม่ต้องมีการเก็บสำเนาเอกสารหรือข้อมูลที่ไม่จำเป็นเก็บไว้ในรูปแบบเอกสารกระดาษ
3. ความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ
การใช้เทคโนโลยีในกระบวนการ E-KYC ช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดจากข้อผิดพลาดทางมนุษย์ การตรวจสอบข้อมูลอัตโนมัติและการสร้างระบบตรวจสอบอิเล็กทรอนิกส์ช่วยให้ข้อมูลที่ได้รับเป็นน่าเชื่อถือและถูกต้อง
4. ประหยัดทรัพยากร
การใช้ E-KYC ช่วยลดการใช้ทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ KYC ที่เป็นแบบดั้งเดิม เช่น กระดาษ เครื่องพิมพ์ เวลา และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
5. ความปลอดภัยข้อมูล
การใช้ E-KYC ช่วยเพิ่มระดับความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า ข้อมูลที่ส่งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ถูกเข้ารหัสและรักษาความลับอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่เหมาะสมหรือการโจมตีทางไซเบอร์ได้
ความต่างระหว่าง KYC และ E-KYC คืออะไร
กระบวนการทำงานที่ต่างกัน
KYC เป็นกระบวนการที่มีการตรวจสอบและยืนยันตัวตนของลูกค้าโดยใช้เอกสารและข้อมูลที่มีอยู่ในการยืนยันตัวตน แต่ในขณะที่ E-KYC เป็นกระบวนการที่ใช้เทคโนโลยีและระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลและยืนยันตัวตนของลูกค้า
การเก็บรักษาข้อมูล
ในกระบวนการเก็บรักษาข้อมูล KYC เอกสารและข้อมูลที่ตรวจสอบส่วนใหญ่จะถูกเก็บรักษาในรูปแบบกระดาษหรือสื่ออื่น ๆ ในขณะที่ใน E-KYC เอกสารและข้อมูลจะถูกเก็บรักษาในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งจะอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์หรือฐานข้อมูลออนไลน์
ความสะดวกและความรวดเร็ว
E-KYC เป็นกระบวนการที่มีความสะดวกและรวดเร็วมากกว่า KYC ลูกค้าสามารถกรอกข้อมูลและส่งเอกสารผ่านช่องทางออนไลน์ได้ทันทีโดยไม่ต้องเดินทางไปถึงสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งช่วยลดเวลาและความไม่สะดวกในการดำเนินกระบวนการ
ความปลอดภัย
ถ้าพูดถึงเรื่องความปลอดภัย E-KYC จะมีระบบรักษาความปลอดภัยสูงกว่า KYC เนื่องจาก E-KYC มักใช้เทคโนโลยีการรับรู้ตัวตน เช่น สแกนลายนิ้วมือหรือสแกนใบหน้า เพื่อยืนยันตัวตนของบุคคลอย่างแม่นยำ การใช้เทคโนโลยีเข้ารหัสที่สามารถอ่านได้เฉพาะกับผู้ที่มีสิทธิ์เท่านั้น
และนี้คือข้อมูลที่ควรรู้ของระบบยืนยันตัวตนทั้ง E-KYC และ KYC ซึ่งทั้ง 2 ระบบมีความต่างกัน โดย E-KYC จะเป็นระบบยืนยันที่ได้รับการพัฒนามาจาก KYC ทำให้ระบบการทำงาน ระบบรักษาความปลอดภัยมีความสูงกว่า สะดวกกว่า และรวดเร็วกว่านั่นเอง ทั้งนี้ระบบยืนยันตัวตนของระบบจัดการเอกสารสำหรับ อบต. และ อบจ. ที่ Ditto ได้พัฒนาขึ้นมาก็มีระบบยืนยันตัวตน ระบบรักษาความปลอดภัย พร้อมระบบจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล ผ่านเทคโนโลยีระบบ E-KYC มาเป็นต้นแบบของการยืนยันข้อมูล เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานระบบทุกคน
สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียด ระบบระบบจัดการเอกสาร อบต. และ อบจ. เพิ่มเติม
📞 02-517-5555
Line ID: @dittothailand