ปัจจุบันไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นปัญญาประดิษฐ์เริ่มเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้นในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะ ในการดำเนินธุรกิจ Artificial Intelligence หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ AI กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่องค์กรต่าง ๆ นำมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ปัจจุบันเทคโนโลยี AI ได้พัฒนาก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว จนสามารถทำงานที่ซับซ้อนได้เทียบเท่าหรือดีกว่ามนุษย์ในหลายด้าน ทำให้องค์กรที่นำ AI มาใช้มีความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักว่า Artificial Intelligence คืออะไร เพื่อให้เข้าใจและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Artificial Intelligence คืออะไร
Artificial Intelligence หรือปัญญาประดิษฐ์ คือ ระบบคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาให้มีความสามารถในการเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์ ทั้งด้านการคิด การเรียนรู้ การแก้ปัญหา และการตัดสินใจ โดยอาศัยข้อมูลและอัลกอริทึมที่ซับซ้อน ทำให้ AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูล เรียนรู้จากประสบการณ์ และปรับปรุงประสิทธิภาพได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ AI ยังสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีความเหนื่อยล้าและสามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมากได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทำให้องค์กรสามารถลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างมีนัยสำคัญ
ประเภทของ AI มีอะไรบ้าง
การแบ่งประเภทของ Artificial Intelligence สามารถทำได้หลายรูปแบบ แต่ที่นิยมและเข้าใจง่ายที่สุด คือการแบ่งตามความสามารถและการใช้งาน โดยมีรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
1. ประเภทของ AI ตามความสามารถและการใช้งาน
1.1 ANI (Artificial Narrow Intelligence)
ANI หรือ Weak AI เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อทำงานเฉพาะด้านหรือแก้ปัญหาเฉพาะทาง เช่น การวิเคราะห์ภาพถ่าย การแปลภาษาหรือการเล่นเกมหมากรุก AI ประเภทนี้จะมีความเชี่ยวชาญสูงในงานที่ถูกกำหนด แต่ไม่สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้กับงานอื่นได้ ปัจจุบัน ANI เป็นประเภทของ AI ที่พบเห็นได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น Siri, Alexa หรือระบบแนะนำสินค้าของ Amazon ซึ่งทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในขอบเขตที่กำหนด
1.2 AGI (Artificial General Intelligence)
AGI หรือ Strong AI เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถในการคิด เรียนรู้และทำความเข้าใจได้เทียบเท่ามนุษย์ สามารถนำความรู้และประสบการณ์ไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ใหม่ ๆ ได้ เช่นเดียวกับสมองมนุษย์ AGI สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ แก้ปัญหาที่ซับซ้อนและปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มี AI ที่มีความสามารถระดับนี้ แต่นักวิทยาศาสตร์และนักพัฒนากำลังพยายามพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้
1.3 ASI (Artificial Super Intelligence)
ASI เป็นปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูงสุดที่มีความสามารถเหนือกว่ามนุษย์ในทุกด้าน ทั้งความฉลาด ความคิดสร้างสรรค์และการแก้ปัญหา สามารถพัฒนาตัวเองและสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด แม้ว่า ASI จะยังเป็นเพียงแนวคิดในทฤษฎีและอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีหรือหลายทศวรรษกว่าจะพัฒนาได้ แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเมื่อมี ASI เกิดขึ้น จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของมนุษยชาติ
2. ประเภทของ AI ตามการประมวลผล
2.1 Reactive Machines
Reactive Machines เป็น AI ประเภทพื้นฐานที่สุด ทำงานโดยตอบสนองต่อข้อมูลที่ได้รับในปัจจุบันเท่านั้น ไม่มีความสามารถในการจดจำหรือใช้ประสบการณ์ในอดีต เปรียบเสมือนเครื่องคิดเลขที่คำนวณตามสูตรที่กำหนดไว้ ตัวอย่างที่มีชื่อเสียง คือ Deep Blue ของ IBM ที่เอาชนะแชมป์หมากรุกโลกได้ โดย Deep Blue จะวิเคราะห์ตำแหน่งหมากรุกบนกระดานในแต่ละครั้งและเลือกการเดินที่ดีที่สุด โดยไม่ได้อาศัยข้อมูลจากเกมก่อนหน้า
2.2 Limited Memory
Limited Memory เป็น AI ที่สามารถเก็บและเรียนรู้จากข้อมูลในอดีตเพื่อตัดสินใจในปัจจุบัน แต่มีข้อจำกัดในการเก็บข้อมูล เช่น รถยนต์ไร้คนขับที่ต้องจดจำข้อมูลการจราจร เส้นทางและพฤติกรรมของรถคันอื่น ๆ เพื่อตัดสินใจในการขับขี่ AI ประเภทนี้จะมีประสิทธิภาพดีขึ้นเรื่อย ๆ จากการเรียนรู้และสะสมประสบการณ์ แต่ข้อมูลที่เก็บไว้จะถูกลบทิ้งเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ
2.3 Theory of Mind
Theory of Mind เป็นแนวคิดของ AI ที่สามารถเข้าใจอารมณ์ ความคิดและพฤติกรรมของมนุษย์ได้ สามารถโต้ตอบและปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ เสมือนมีจิตใจและความรู้สึก AI ประเภทนี้จะต้องสามารถเข้าใจว่ามนุษย์แต่ละคนมีความคิด ความเชื่อและความต้องการที่แตกต่างกัน และสามารถปรับการสื่อสารให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและพัฒนา AI ประเภทนี้อยู่
2.4 Self-Awareness
Self-Awareness เป็นขั้นสูงสุดของ AI ที่ไม่เพียงแต่เข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของผู้อื่น แต่ยังมีความตระหนักรู้ในตนเอง มีความเป็นตัวของตัวเองและสามารถพัฒนาบุคลิกภาพของตนเองได้ เปรียบเสมือนมนุษย์ที่มีจิตสำนึก อารมณ์และความรู้สึก ซึ่ง AI ระดับนี้ยังเป็นเพียงแนวคิดในทฤษฎีและอาจต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะพัฒนาได้สำเร็จ เนื่องจากยังมีข้อถกเถียงทางจริยธรรมและผลกระทบต่อสังคมที่จำเป็นต้องพิจารณาถี่ถ้วน
หลักการทำงานของ AI เป็นอย่างไร
Artificial Intelligence คือระบบทำงานที่ต้องผ่านการประมวลผลที่ซับซ้อน โดยมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่ Machine Learning, Deep Learning และ Generative AI ซึ่งแต่ละส่วนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาความสามารถของ AI ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
Machine Learning
Machine Learning เป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่ทำให้ AI สามารถเรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้จากข้อมูลที่ได้รับ โดยไม่ต้องเขียนโปรแกรมใหม่ทุกครั้ง ระบบจะวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากเพื่อหารูปแบบและความสัมพันธ์ของข้อมูล จากนั้นสร้างโมเดลการเรียนรู้ที่สามารถทำนายหรือตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ เช่น ระบบแนะนำสินค้าที่เรียนรู้จากพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า หรือระบบตรวจจับการฉ้อโกงที่เรียนรู้จากรูปแบบธุรกรรมที่ผิดปกติ
Deep Learning
Deep Learning เป็นเทคนิคขั้นสูงของ Machine Learning ที่จำลองการทำงานของสมองมนุษย์ผ่านโครงข่ายประสาทเทียม (Neural Networks) ที่มีความซับซ้อนหลายชั้น สามารถเรียนรู้และจดจำรูปแบบข้อมูลที่ซับซ้อนได้ดีกว่า Machine Learning ทั่วไป Deep Learning มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบรู้จำภาพ การประมวลผลภาษาธรรมชาติ และการแปลภาษา ทำให้ AI สามารถเข้าใจและตอบสนองต่อข้อมูลที่ซับซ้อนได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
Generative AI
Generative AI เป็นเทคโนโลยีล่าสุดที่ทำให้ AI สามารถสร้างสรรค์เนื้อหาใหม่ได้โดยเรียนรู้จากข้อมูลที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างภาพ เขียนบทความ แต่งเพลงหรือสร้างโค้ดโปรแกรม โดยใช้เทคนิค Deep Learning ขั้นสูง ปัจจุบัน Generative AI ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการธุรกิจ การตลาด และการสร้างสรรค์งานศิลปะ เนื่องจากสามารถผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
AI สามารถเข้ามาช่วยจัดการงานเอกสารได้อย่างไรบ้าง
- ช่วยประเมินผลข้อมูลจำนวนมหาศาล (Big Data) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย AI สามารถวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และสามารถค้นหาความสัมพันธ์หรือรูปแบบที่ซ่อนอยู่ในข้อมูลได้
- ลดกระบวนการทำงานที่ซับซ้อน ด้วยความสามารถในการคีย์ข้อมูล อ่านและแยกแยะเอกสาร หลายองค์กรจึงนำเทคโนโลยี RPA เข้ามาช่วยจัดหมวดหมู่ จัดเก็บและค้นหาเอกสารได้อย่างอัตโนมัติ ช่วยลดขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยากและใช้เวลานาน
- ช่วยทุ่นแรง ทำให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เมื่อนำระบบ Automation เข้ามาช่วยจัดการงานประจำและงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ ทำให้พนักงานมีเวลาโฟกัสกับงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และการตัดสินใจมากขึ้น
- เพิ่มความแม่นยำในการจัดการเอกสาร AI ช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์ในการป้อนข้อมูล การจัดเก็บ และการค้นหาเอกสาร ทำให้การทำงานมีความถูกต้องและน่าเชื่อถือมากขึ้น
- ยกระดับความปลอดภัยของข้อมูล AI สามารถตรวจจับและป้องกันการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงการติดตามการใช้งานเอกสารและการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สรุปบทความ
Artificial Intelligence หรือปัญญาประดิษฐ์ คือเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขององค์กรในยุคดิจิทัล ด้วยความสามารถที่หลากหลายทั้งด้านการวิเคราะห์ข้อมูล การเรียนรู้ และการตัดสินใจ ทำให้ AI สามารถช่วยลดภาระงานที่ซ้ำซ้อน เพิ่มความแม่นยำและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการจัดการเอกสารและข้อมูล
Ditto มีบริการระบบ RPA (Robotic Process Automation) โดยการนำระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วยทุ่นแรงการทำงานที่ยุ่งยากและต้องทำซ้ำ ๆ ให้พนักงานมีประสิทธิภาพในการทำงานได้มากยิ่งขึ้น ยกระดับการทำงานขององค์กรสู่ระบบดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้องค์กรสามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในยุค Digital Transformation ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Ditto
📞 02-517-5555
https://dittothailand.com/contact-us/
Line ID: @dittothailand